ยินดีต้อนรับค่ะ

Blog นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแหล่งข้อมูลพื้นฐานที่คัดสรรมาสำหรับผู้ต้องการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินผลพัฒนาการเด็กปฐมวัย และพัฒนาการเด็กปฐมวัย

...อยากเห็นเด็กๆ มีความสุขในการเรียนรู้ ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจและมีความสุขในการเรียนรู้ไปด้วยกันกับเขานะคะ...

หน้าเว็บ

แนวทางการประเมินความสามารถผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568

แนวทางการประเมินความสามารถผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2568. หน้า 56 -77 ออนไลน์ : https://academic.obec.go.th/web/images/mission/1744086483_d_2.pdf สืบค้น 23 พฤศจิกายน 2568) กำหนดเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพของเด็กในด้านสุขภาวะทางกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม ด้านความเป็นพลเมืองและความ เป็นไทย และด้านสติปัญญา ดังนี้

1) ด้านสุขภาวะทางกาย เด็กมีร่างกายเจริญเติบโต แข็งแรง มีสุขอนามัยและสุขนิสัยที่ดี รักษา ความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น เคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน

          การประเมินความสามารถด้านสุขภาวะทางกาย  ประกอบด้วย  มีสุขอนามัยและสุขนิสัยที่ดี รักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น เคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่ว ประสานสัมพันธ์กัน และใช้มือ- ตา ประสานสัมพันธ์กัน

2) ด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม เด็กรับรู้ เข้าใจ มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น แสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม  มีการกำกับตนเอง  มีสัมพันธภาพที่ดีและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง มีความสุขและแสดงออกผ่านงานศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มี ทักษะชีวิต ช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และยอมรับความเหมือนและความแตกต่างระหว่างบุคคล

การประเมินความสามารถด้านอารมณ์ จิตใจ และ สังคม ประกอบด้วย แสดงออกทาง อารมณ์และความรู้สึกในสถานการณ์ต่าง ๆ กำกับตนเองในการทำกิจกรรม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น มี ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ยอมรับและรับผิดชอบในการตัดสินใจของตนเอง มีสุนทรียภาพทางศิลปะ ดนตรี และ การเคลื่อนไหว ช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และยอมรับความเหมือนและความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรม 

          3) ด้านความเป็นพลเมือง และความเป็นไทย เด็กมีคุณธรรม จริยธรรมและจิตใจที่ดี มีมารยาทไทย ปฏิบัติตามวัฒนธรรมและประเพณีไทย รักและภูมิใจในความเป็นไทย ปฏิบัติตนตาม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีวินัยในตนเอง และเป็นสมาชิกที่ดี ของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

การประเมินความสามารถด้านความเป็นพลเมืองและความเป็นไทย ประกอบด้วย มีคุณธรรม จริยธรรมและจิตใจที่ดีงาม มีมารยาทไทย และปฏิบัติตามวัฒนธรรมและประเพณีไทย รักและภูมิใจ ในความเป็นไทย ประหยัดและพอเพียง ดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตนเป็น สมาชิกที่ดีของสังคม

 

4) ด้านสติปัญญา ประกอบด้วย

   (1) ภาษาและการรู้หนังสือ เด็กฟังและสนทนาโต้ตอบ และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ผู้อื่น เข้าใจ อ่านภาพและสัญลักษณ์ มีความรู้เกี่ยวกับตัวอักษร และการเขียนเพื่อสื่อความหมายในชีวิตประจำวัน

การประเมินความสามารถด้านภาษาและการรู้หนังสือ ประกอบด้วย ฟังและ สนทนาโต้ตอบกับผู้อื่นเล่าเรื่องให้ผู้อื่นเข้าใจ อ่านภาพและสัญลักษณ์ มีความรู้เกี่ยวกับตัวอักษร และเขียนสื่อความหมายอิสระในชีวิตประจำวัน

             (2) การคิดรวบยอดและการคิดคำนวณ เด็กมีทักษะพื้นฐานที่นำไปสู่การคิดรวบยอด การคิดคำนวณ การเรียงลำดับ การแสดงแบบรูปของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การรู้ค่าของจำนวนและ ใช้จำนวนและตัวเลข ในชีวิตประจำวัน และการรับรู้มิติสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน

การประเมินความสามารถด้านการคิดรวบยอดและการคิดคำนวณ ประกอบด้วย จับคู่ เปรียบเทียบ จำแนกและจัดกลุ่มสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เรียงลำดับและแสดงแบบรูปของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน รู้ค่าของจำนวนและใช้จำนวนและตัวเลขในชีวิตประจำวัน และรับรู้มิติสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน

             (3) การคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจ เด็กมีทักษะแก้ปัญหาโดยระบุปัญหา สร้างทางเลือก เลือกวิธีการ และลงมือแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และตัดสินใจในเรื่องง่าย ๆ และยอมรับผลที่เกิดขึ้น

การประเมินความสามารถด้านการคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจ   ประกอบด้วย แก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และใช้เหตุผลในการตัดสินใจ

   (4) การแสวงหาความรู้  เด็กกระตือรือร้นในการเรียนรู้และร่วมกิจกรรม  และค้นหา คำตอบเกี่ยวกับปัญหาหรือข้อสงสัย โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้

การประเมินความสามารถด้านการแสวงหาความรู้  ประกอบด้วย กระตือรือร้นในการเรียนรู้และค้นหาคำตอบเกี่ยวกับปัญหาหรือข้อสงสัย โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้

   (5) จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เด็กใช้จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานศิลปะ และการเคลื่อนไหว

การประเมินความสามารถด้านจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ประกอบด้วยทำงานศิลปะตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ และแสดงท่าทาง/เคลื่อนไหวตามจินตนาการอย่างสร้างสรรค์

            ทั้งนี้ความเชื่อมโยงของหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 กับการประเมิน ความสามารถผู้เรียน แสดงโดยแผนภาพได้ ดังนี้


แผนภาพแสดงความเชื่อมโยงของหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568กับการประเมินความสามารถผู้เรียน



        ที่มา: กระทรวงศึกษาธิการ. 2568: 58


 ขั้นตอนการประเมินความสามารถผู้เรียน

การประเมินความสามารถผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพนั้น เกิดขึ้นขณะจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของเด็กในห้องเรียน มีขั้นตอน ดังนี้

๑) กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความสามารถผู้เรียนเมื่อจบชั้นปี

    ผู้สอนต้องกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละกิจกรรมและกำหนดสิ่งที่จะประเมินจาก การจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน เพื่อวางแผนการประเมินความสามารถผู้เรียน และการตรวจสอบทบทวนความถูกต้อง ความครอบคลุม และความเชื่อมโยง อันจะเป็นประโยชน์ ในการดำเนินการประเมินความสามารถผู้เรียนอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ผู้สอนต้องวางแผนการประเมินให้ เหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ซึ่งจะสอดคล้องกับความสามารถผู้เรียนเมื่อจบชั้นปี ซึ่งในแต่ละจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการจัดประสบการณ์ สามารถเก็บข้อมูลการประเมินได้จาก การจัดประสบการณ์การเรียนรู้และจากกิจกรรมประจำวัน

 

ตัวอย่างที่ ๑ การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้

หน่วย หนูน้อยรักษ์โลก ชั้นอนุบาลปีที่ ๒

ความสามารถผู้เรียน

จุดประสงค์การเรียนรู้

7.1 ด้านสุขภาวะทางกาย

1.2) เล่น ทำกิจกรรม ใช้สิ่งของเคร่ืองใช้ ปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างปลอดภัย ระมัดระวังความปลอดภัยจากบุคคลและ สิ่งแวดล้อมและไม่ไปกับคนแปลกหน้า

  เล่นเครื่องเล่นสนามอย่างปลอดภัย

7.2 ด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม

6.1) ชื่นชม มีความสุข และแสดงออกผ่านงานศิลปะ เสียงเพลง ดนตรี แสดงท่าทางและการเคลื่อนไหว

  เคลื่อนไหวประกอบเพลง จังหวะ และดนตรีอย่างมี ความสุข

7.3 ความเป็นพลเมือง และความเป็นไทย

5.1) ดูแลรักษาธรรมชาติ ต้นไม้ สัตว์เลี้ยง สาธารณสมบัติ ที่อยู่รอบตัว และสิ่งแวดล้อม นำวัสดุหรือสิ่งของ เครื่องใช้ที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำหรือแปรรูปแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ คัดแยกขยะ และทิ้งขยะถูกที่

  ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบริเวณโรงเรียนและ ห้องเรียนได้คัดแยกขยะก่อนทิ้ง

7.4 ด้านสติปัญญา

1.1) ฟังผู้อื่นพูดจนจบและสนทนาโต้ตอบอย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยงกับเร่ืองที่ฟัง แสดงความคิดเห็นและความรู้สึกด้วย ประโยคสั้น ๆ

 

  ฟังเร่ืองราวและพูดโต้ตอบเกี่ยวกับการดูแล

สิ่งแวดล้อมรอบตัวให้ผู้อื่นเข้าใจ

 

            ๒) กำหนดวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความสามารถผู้เรียน

    เมื่อผู้สอนกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ตามความสามารถผู้เรียนได้ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การกำหนดวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน ผู้สอนต้องวางแผนและกำหนดวิธีการประเมินให้เหมาะสมกับ กิจกรรม เช่น การสังเกตพฤติกรรม การประเมินผลงาน/ชิ้นงาน การพูดคุยหรือสัมภาษณ์เด็ก วิธีการ ที่ผู้สอนควรใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย ดังนี้

    2.1) การสังเกตและการบันทึก แบ่งออกเป็น ๒ วิธี ได้แก่ ๑) การสังเกตแบบเป็นทางการ คือ การสังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนตามแผนที่วางไว้ และ ๒) การสังเกตแบบไม่เป็นทางการ  คือ การสังเกตในขณะที่เด็กทำกิจกรรมประจำวันและเกิดพฤติกรรมที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ผู้สอน ต้องจดบันทึกสิ่งที่รวบรวมได้จากการสังเกตอย่างเหมาะสม  ทั้งนี้ การบันทึกพฤติกรรมมีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่ต้องทำอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอ เนื่องจากเด็กเจริญเติบโตและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสังเกต และบันทึกความสามารถเด็กปฐมวัยสามารถใช้แบบบันทึก ดังนี้

(1) แบบบันทึกพฤติกรรมแบบเป็นทางการ กำหนดความสามารถที่ต้องการสังเกต ระบุชื่อ นามสกุล อายุ รวมทั้งชื่อผู้สังเกต ดำเนินการบันทึกโดยเขียนบรรยายพฤติกรรมเด็กที่สังเกตได้ตามประเด็น ผู้สังเกตต้องบันทึกวัน เดือน ปีที่สังเกตแต่ละครั้ง ข้อมูลการสังเกตที่ผู้สอนบันทึกลงในแบบบันทึก พฤติกรรมนี้จะช่วยให้ผู้สอนเข้าใจพฤติกรรมเด็กได้ดีขึ้น และทราบว่าเด็กแต่ละคนมีจุดเด่นมีความต้องการ มีความสนใจ หรือต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใดบ้าง


ตัวอย่างที่ 2 แบบบันทึกพฤติกรรมแบบเป็นทางการ

เด็กหญิงจันทร์เจ้า สดใส อายุ ๕ ปี ชั้นอนุบาลปีที่ 2

ชื่อผู้สังเกต นางสาวสมใจ ใจเย็น

 

1.1) รับประทานอาหารที่ หลากหลายที่มี ประโยชน์ ดื่มน้ำ สะอาด แปรงฟัน ล้างมือก่อน รับประทานอาหาร และหลังจากใช้ ห้องน้ำห้องส้วม นอนพักผ่อน เป็นเวลาและออกกำลังกาย เป็นเวลา

1.2) เล่น ทำกิจกรรม ใช้สิ่งของเคร่ืองใช้ ปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างปลอดภัย และระมัดระวัง ความปลอดภัย จากบุคคล และสิ่งแวดล้อม

6.1) ชื่นชม มีความสุข และแสดงออก ผ่านงานศิลปะ เสียงเพลง ดนตรี แสดงท่าทาง และการเคลื่อนไหว

2.1) ไหว้ กล่าวคำขอบคุณ ขอโทษ 

ร่วมกิจกรรม ตามวัฒนธรรม และประเพณีไทย

1.1) ฟังผู้อื่นพูดจนจบและสนทนา โต้ตอบอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงกับเร่ือง ที่ฟัง

๑๐/๗/๒๕๖๘ 

 รับประทานข้าว ผัก ไข่ และนม จนหมด

๑๘/๘/๒๕๖๘

นั่งชิงช้าและค่อย ๆ แกว่งพร้อมทั้ง บอกให้เพื่อนออกไปห่าง ๆ

๒๓/๖/๒๕๖๘ 

 ยิ้มและร้องเพลง พร้อมทั้งโยกศีรษะ

๒๘/๗/๒๕๖๘ 

 มาถึงโรงเรียน ยกมือไหว้ตามที่คุณแม่ แนะนำ

๑๕/๗/๒๕๖๘ 

 นั่งฟังนิทานอย่างตั้งใจ

๑๖/๖/๒๕๖๘ นอนหลับตามเวลา ไม่ชวนเพื่อนคุย

๓๑/7/๒๕๖๘ 

 ถือสิ่งของโดยความ ระมัดระวังไม่ เหวี่ยง แกว่ง

๓๑/๘/๒๕๖๘ เคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะไปรอบๆ ห้อง โดยไม่ชนเพื่อน

๖/๙/๒๕๖๘ 

 มาถึงโรงเรียนและ ยกมือไหว้ด้วยตนเอง

๒๔/๙/๒๕๖๘ 

 พูดคุย ตอบคำถาม เกี่ยวกับนิทานที่ฟัง


(๒) แบบบันทึกพฤติกรรมแบบไม่เป็นทางการ เป็นการบันทึกพฤติกรรม เหตุการณ์ หรือ จากการจัดประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนทุกวัน โดยระบุชื่อ นามสกุล อายุ และชื่อผู้สังเกต วัน เดือน ปี ที่บันทึก อาจบันทึกโดยใช้การบรรยาย ใคร ทำอะไร ที่ไหน ทำอย่างไร ซึ่งผู้สอนควรวางแผนการสังเกตเด็ก รายบุคคลให้ครบทุกคน การบันทึกควรมีรายละเอียดและข้อมูลที่ชัดเจน ผู้สอนควรบรรยายพฤติกรรมตาม ความจริงที่พบ และวิเคราะห์พฤติกรรมตามองค์ประกอบความสามารถผู้เรียนเมื่อจบชั้นปีอย่างเป็นระบบ ข้อดีของการบันทึกรายวัน คือ เห็นพฤติกรรมที่แสดงถึงความสามารถของเด็กอย่างชัดเจน หากผู้สอนพบพฤติกรรมปัญหาของเด็ก จะได้หาวิธีการแก้ไข ช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที

 

ตัวอย่างที่ 3 แบบบันทึกรายวัน

แบบบันทึกรายวัน

ชื่อ ด.ญ.จันทร์เจ้า สดใส อายุ 5 ปี ชั้น อนุบาลปีที่ 2

ชื่อครูผู้สังเกต นางสาวสมใจ ใจเย็น         วันที่บันทึก ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ เวลา ๑๐.๐๐ น.

สถานที่ : บ่อทราย

พฤติกรรม : น้องเล่นอยู่ในบ่อทรายเปียกกับเพื่อนๆ โดยใช้อุปกรณ์ของเล่น ได้แก่ ช้อน ตักตวงทรายใส่ ตะแกรงที่มีรู ตักทรายใส่ถังแล้วก่อกองทรายเป็นปราสาท จากนั้นก็ใช้แม่พิมพ์พลาสติกรูปสัตว์ต่างๆ เช่น กุ้งและหอยวางเรียงสลับกันไว้รอบๆ ปราสาท ตักทรายใส่ขวดน้ำพลาสติก ปิดฝา เขย่าโดยเอามาเขย่าใกล้ๆ หู พร้อมทั้งหันไปบอกน้องมะปรางว่า “ มีเสียงดังด้วยนะ” “ลองฟังดู” จากนั้นก็ยื่นขวดน้ำพลาสติกที่ใส่ ทรายให้น้องมะปรางลองเขย่าดู น้องมะปรางพูดว่า “จริงด้วย มีเสียง” แล้วน้องจันทร์เจ้าก็เททรายออก ตักทรายเข้าไปอีกแล้วเขย่า เททรายออก ตักทรายเข้าไป ทดลองเขย่าซ้ำไปมาหลายครั้ง น้องมะปรางทำ เช่นเดียวกันกับน้องจันทร์เจ้า แต่ใส่ทรายเข้าไปเกือบเต็มขวด น้องจันทร์เจ้าพูดว่า “อย่าใส่ทรายเยอะนะ เขย่าไม่ได้” “ทรายเปียกติดอยู่ในขวดเทออกไม่หมด” “ต้องเคาะเอาทรายออกก่อน”

ความคิดเห็นของผู้สอน : จากการเล่นทราย น้องจันทร์เจ้าได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการเรียนรู้ ได้ค้นพบข้อเท็จจริง ได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติ คือ การเล่นทราย ทำกิจกรรมร่วมกับ เพื่อน (เล่น ทำกิจกรรมและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย)  ได้สัมผัสทราย และใช้มือในการหยิบจับ อุปกรณ์บอกได้ว่า  ทรายกระทบวัตถุต่างๆจะเกิดเสียงแตกต่างกัน  (บอกลักษณะ  ส่วนประกอบการ เปลี่ยนแปลง หรือความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆจากการสังเกตโดยใช้ประสาทสัมผัส)  ได้ใช้ภาษาจากการ สนทนา การพูดกับผู้อื่น เด็กได้เรียนรู้คำศัพท์ที่ใช้เรียกสิ่งหนึ่งที่เป็นธรรมชาติ เช่น ทรายเปียก ทรายแห้ง แสดงความคิดริเริ่มในการเล่นโดยใช้ทรายใส่ขวดแล้วเขย่าเพื่อให้เกิดเสียง   และแก้ปัญหาการเล่นได้ (ระบุปัญหาสร้างทางเลือกและเลือกวิธีแก้ปัญหา)


         ข้อพึงระวังในการสังเกตพฤติกรรมความสามารถของเด็ก

            ระหว่างการสังเกต ไม่ควรแปลความพฤติกรรมของเด็ก การแปลความจะดำเนินการหลังเสร็จสิ้นการสังเกต ในส่วนของการบันทึก ผู้สอนอาจบันทึกย่อหรือทำสัญลักษณ์ไว้ และบันทึกเป็นหลักฐาน ทันทีเมื่อมีเวลา

2.2) แบบสำรวจรายการ กำหนดความสามารถของผู้เรียนที่ต้องการสำรวจ ระบุชื่อ นามสกุล อายุ และชื่อผู้สังเกต วัน เดือน ปีที่สำรวจรายการ และกำหนดเกณฑ์ในการสำรวจพฤติกรรม เช่น ปฏิบัติ - ไม่ปฏิบัติ ทำได้ - ทำไม่ได้ เป็นต้น ควรมีการสำรวจความสามารถของผู้เรียนในเรื่องเดียวกันอย่างน้อย ๓ ครั้ง เพื่อยืนยันว่าเด็กมีความสามารถนั้น ๆ จริง

 

ตัวอย่างที่ 4 แบบสำรวจรายการ

ชื่อ ด.ญ.จันทร์เจ้า สดใส อายุ 5 ปี ชั้น อนุบาลปีที่ 2

ชื่อครูผู้สังเกต นางสาวสมใจ ใจเย็น

คำชี้แจง โปรดทำเครื่องหมาย 🗸 ลงในช่องตรงกับพฤติกรรมของเด็ก

 

 

ความสามารถ ผู้เรียน

 

 

พฤติกรรม

ครั้งที่ ๑

10/6/68

ครั้งที่ ๒

10/7/68

ครั้งที่ ๓

10/8/68

 

สรุป

ไม่

ปฏิบัติ

ปฎิบัติ

ไม่

ปฏิบัติ

ปฏิบัติ

ไม่

ปฏิบัติ

ปฏิบัติ

ด้านสุขภาวะทางกาย

1.1.1 รับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด แปรงฟัน ล้างมือ ก่อนรับประทาน อาหารและหลังจาก ใช้ห้องน้ำห้องส้วม นอนพักผ่อน และ ออกกำลังกายเป็น เวลา

๑.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

 

🗸

 

🗸

 

🗸

ปฎิบัติ

2. ดื่มน้ำสะอาด

🗸

 

 

🗸

 

🗸

ปฎิบัติ

3.แปรงฟัน

🗸

 

 

🗸

 

🗸

ปฎิบัติ

4.ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร

🗸

 

 

🗸

 

🗸

ปฎิบัติ

5.ล้างมือหลังจากใช้ห้องน้ำห้องส้วม

 

🗸

 

🗸

 

🗸

ปฎิบัติ

6.นอนพักผ่อนเป็นเวลา

🗸

 

🗸

 

 

🗸

ไม่ ปฏิบัติ

7.ออกกำลังกายเป็นเวลา

🗸

 

🗸

 

🗸

 

ไม่ ปฏิบัติ

 



2.3) การบันทึกการสนทนา เป็นการบันทึกการสนทนาทั้งแบบเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล เพื่อประเมินความสามารถ ในการแสดงความคิดเห็นและความสามารถด้านภาษาและการรู้หนังสือ การคิดรวบยอดและการคิดคำนวณ การคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจ การแสวงหาความรู้ จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงความสามารถด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคมละบันทึกผลการสนทนา ลงในแบบบันทึกพฤติกรรมหรือบันทึกรายวัน โดยระบุ ชื่อ นามสกุล อายุเด็ก ภาคเรียนที่ และกิจกรรม ที่ใช้สนทนา ช่องที่ใช้ในการบันทึกในแบบสนทนาให้ระบุ วัน เดือน ปี/ คำพูดของเด็ก/ ความคิดเห็นของ ผู้สอนที่สะท้อนพฤติกรรมที่แสดงออกของเด็กสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการจัด ประสบการณ์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาการผ่านความสามารถตามวัยที่เกี่ยวข้องในแต่ละเรื่อง


ตัวอย่างที่ 5 แบบบันทึกการสนทนา

ชื่อ ด.ญ.จันทร์เจ้า สดใส อายุ 5 ปี ชั้น อนุบาลปีที่ 2

ชื่อครูผู้สังเกต นางสาวสมใจ ใจเย็น         ภาคเรียนที่ 1/2568

วัน เดือน ปี

คำพูดของเด็ก

ความคิดเห็นผู้สอน

๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๘

วันหยุดหนูช่วยคุณแม่ล้างจาน

น้องจันทร์เจ้าเล่าเร่ืองราวอย่างต่อเนื่องตามลำดับ และตอบคำถามจาก เหตุการณ์ใน ชีวิตประจำวัน และเข้าใจ ลำดับเหตุการณ์ “วันนี้ และเมื่อวาน”

๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๘

คุณพ่อสอนหนูปั้นจักรยาน หนูปั่นได้แล้ว

๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘

หนูนวดขาให้คุณยาย ๆ หนูไม่สบายต้องไปหาหมอ

๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๘

เลิกเรียนคุณแม่จะพาหนูไปซื้อเค้กวันเกิด  หนูชอบเค้กช็อกโกแลต

๑๓ กันยายน ๒๕๖๘

เมื่อวานนี้ฝนตกที่บ้านหนูไฟดับ ต้นไม้หักเพราะลม

๒๖ กันยายน ๒๕๖๘

ปิดเทอมคุณแม่จะพาหนูไปเที่ยวทะเล หนูจะไปเล่นน้ำทะเลกับแม่กับน้องและเก็บเปลือกหอยด้วย

 


2.4) การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการพูดคุยกับเด็กเป็นรายบุคคลและควรจัดในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดและวิตกกังวล ผู้สอนควรใช้คำถามที่เหมาะสมเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดและตอบอย่างอิสระ จะทำให้ผู้สอนสามารถประเมินความสามารถทางสติปัญญาของเด็กและค้นพบศักยภาพในตัวเด็กได้โดยบันทึกข้อมูล ลงในแบบสัมภาษณ์ ครูผู้สอนควรปฏิบัติ ดังนี้

การเตรียมการก่อนการสัมภาษณ์ โดยกำหนดวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ กำหนดคำพูด/ คำถามที่จะพูดกับเด็ก ควรเป็นคำถามที่เด็กสามารถตอบโต้หลากหลายไม่มีผิด/ถูก

การปฏิบัติขณะสัมภาษณ์ ผู้สอนควรสร้างความคุ้นเคยเป็นกันเอง สร้างสภาพแวดล้อม ที่ไม่เคร่งเครียด  ใช้คำถามที่กำหนดไว้ถามเด็กทีละคำถาม  ให้เด็กมีโอกาสคิดและมีเวลาในการตอบคำถามอย่างอิสระ ระยะเวลา สัมภาษณ์ไม่ควรเกิน ๑๐ นาที

หลังการสัมภาษณ์ หลังการสัมภาษณ์ผู้สอนบันทึกในแบบสัมภาษณ์ ให้บันทึกคำพูดของเด็กตาม ความเป็นจริงหลังเสร็จการสัมภาษณ์ ผู้สอนค่อยพิจารณาข้อมูลจากคำพูดเด็กและลงความคิดเห็นที่สะท้อน พฤติกรรมที่แสดงออกของเด็กสอดคล้องกับความสามารถผู้เรียนเมื่อจบชั้นปี หรือจุดประสงค์การเรียนรู้ของ หน่วยการจัดประสบการณ์ที่กำหนดไว้ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาการผ่านความสามารถ ผู้เรียนเมื่อจบชั้นปีที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้าน


ตัวอย่างที่ 6 แบบสัมภาษณ์

ชื่อ ด.ญ.จันทร์เจ้า สดใส อายุ 5 ปี ชั้น อนุบาลปีที่ 2 ผู้บันทึก นางสาวสมใจ ใจเย็น

วัตถุประสงค์ เพื่อสัมภาษณ์เกี่ยวกับการเล่นและทำกิจกรรมร่วมกับเด็กที่แตกต่างไปจากตน

ผู้สอน

:

น้องจันทร์เจ้าคะ วันนี้หนูแต่งตัวเหมือนหรือไม่เหมือนกับเพื่อนคนไหนบ้างคะ

เด็ก

:

วันนี้หนูใส่เสื้อกีฬาสีแดงเหมือนน้องเนยคะ  แต่โต้ใส่สีฟ้า ไม่เหมือนกัน

ผู้สอน

:

แล้วหนูกับน้องเนยมีอะไรที่ไม่เหมือนกัน

เด็ก

:

เนยมีผิวสีดำกว่าหนู อ้วนกว่า และผมสั้นกว่าค่ะ

ผู้สอน

:

หนูเคยเล่นกับน้องเนยไหมคะ เล่นอะไรกัน

เด็ก

:

เล่นกันบ่อย ๆ ค่ะ เล่นเป็นครูกับนักเรียน หนูเป็นนักเรียน บางทีก็เป็นครูค่ะ


2.5) สารนิทัศน์สำหรับเด็กปฐมวัยเพื่อการประเมินความสามารถผู้เรียน

      การจัดทำสารนิทัศน์ (Documentation) เป็นการจัดทำข้อมูลที่เป็นหลักฐานหรือแสดง ให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต ความสามารถ และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจากการทำกิจกรรม ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม ซึ่งหลักฐานและข้อมูลที่บันทึกเป็นระยะ จะเป็นข้อมูลที่อธิบายและบ่งบอกถึง ความสามารถผู้เรียนทั้งด้านสุขภาวะทางกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม ด้านความเป็นพลเมืองและความเป็นไทย และด้านสติปัญญา สารนิทัศน์จึงเป็นการประมวลผลที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการจัดประสบการณ์ ของผู้สอนและร่องรอยผลงานของเด็ก จากการทำกิจกรรมที่สะท้อนถึงความสามารถในด้านต่าง ๆ การจัดทำ สารนิทัศน์จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประเมินความสามารถของเด็กปฐมวัย ซึ่งมีหลายรูปแบบ ได้แก่

     (๑) พอร์ตโฟลิโอสำหรับเด็กเป็นรายบุคคล เช่น การเก็บชิ้นงานหรือภาพถ่ายเด็กขณะทำกิจกรรม มีการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการบันทึกเสียง บันทึกภาพที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในงาน ที่เด็กทำ เป็นต้น

     (๒) การบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับ เช่น การสอนแบบโครงการ (Project Approach) สามารถให้สารนิทัศน์เกี่ยวกับความสามารถเด็กทุกด้าน ทั้งประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็ก และการสะท้อนตนเองของครู รูปแบบการบรรยายเรื่องราวจึงมีหลายรูปแบบ อาจได้จากการบันทึกการสนทนา ระหว่างเด็กกับครู เด็กกับเด็ก การบันทึกของครู การบรรยายของพ่อแม่ผู้ปกครองในรูปแบบ หนังสือหรือจดหมาย แม้กระทั่งการจัดแสดงบรรยายสรุปให้เห็นภาพการเรียนรู้ทั้งหมด

     (๓) การสังเกตและบันทึกพัฒนาการเด็ก เช่น ใช้แบบสังเกตพัฒนาการ การบันทึกสั้น

     (๔) การสะท้อนตนเองของเด็ก เป็นคำพูดหรือข้อความที่สะท้อนความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกจากการสนทนา การอภิปรายแสดงความคิดเห็นของเด็กขณะทำกิจกรรม ซึ่งอาจบันทึกด้วย เทคโนโลยีบันทึกเสียงหรือบันทึกภาพ

     (๕) ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม ที่แสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้ ความสามารถ ทักษะ จิตนิสัยของเด็ก ผู้สอนสามารถนำผลงานของเด็กมาใช้พิจารณาพัฒนาการและกระบวนการทำงานของเด็ก ผู้สอนส่วนใหญ่มักจะเก็บผลงาน การเขียนและผลงานศิลปะ อย่างไรก็ตามผู้สอนควรเก็บผลงานหลากหลาย ประเภทของเด็ก เช่น ภาพเขียน การร่วมระดมความคิดและเขียนออกมาในลักษณะใยแมงมุม การแสดงออก ทางดนตรี การก่อสร้างในรูปแบบต่าง ๆ ตัวอย่างคำพูด เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเก็บข้อมูลหลักฐาน เพื่อประเมินการเรียนรู้และประเมินความสามารถของเด็กปฐมวัยข้างต้น

Ø  การจัดทำสารนิทัศน์ที่หลากหลายจะช่วยให้ผู้สอนตรวจสอบคุณภาพของการศึกษาที่ดี เนื่องจาก เป็นการเน้นการประเมินเพื่อตรวจสอบความเข้มแข็งของการศึกษา ซึ่งส่งผลให้สถานศึกษาสามารถปรับปรุง ประสิทธิภาพของการจัดการศึกษาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้บางหน่วยงานนำแบบทดสอบมาตรฐานซึ่งไม่เหมาะสม มาประเมินเด็กปฐมวัย

Ø  ผู้สอนที่จัดทำสารนิทัศน์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ครูสามารถประสบการณ์ให้กับเด็กได้สอดคล้อง กับปัญหาและความสามารถเด็ก สารนิทัศน์สามารถช่วยผู้สอนให้จัดประสบการณ์ได้ตรงประเด็น เนื่องจาก งานวิจัยพบว่าหากเข้าไปมีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติที่สัมพันธ์กับความรู้สึกและอารมณ์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ การเรียนรู้ของเด็ก ดังนั้น การทดสอบด้วยข้อสอบมาตรฐานไม่ช่วยพัฒนาเด็กในด้านจิตใจและความสามารถซึ่ง ต่างจากการใช้สารนิทัศน์ในการประเมิน ดังนั้นการใช้แบบทดสอบประเมินเป็นการแยกส่วนของสมองไม่บอกถึง ความสามารถในการบูรณาการความรู้ของเด็กที่แท้จริง

2.6) การประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก เป็นการประเมินการเจริญเติบโตด้านสุขภาวะ ทางกายของเด็ก ซึ่งการพิจารณาการเจริญเติบโตในเด็กที่ใช้ทั่ว ๆ ไปอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ น้ำหนัก ส่วนสูง เส้นรอบศีรษะ ฟัน และการเจริญเติบโตของกระดูก สำหรับแนวทางประเมินการเจริญเติบโต มีดังนี้

(1) การประเมินการเจริญเติบโต โดยการชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงเด็กแล้วนำไป เปรียบเทียบกับเกณฑ์ปกติ ในกราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์อายุของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งใช้สำหรับติดตาม การเจริญเติบโตโดยรวม

ข้อควรคำนึงในการประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก

๑) เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้านการเจริญเติบโต บางคนรูปร่างอ้วน บางคนผอม บางคนร่างใหญ่ บางคนร่างเล็ก

๒) ภาวะโภชนาการเป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับขนาดของรูปร่าง แต่ไม่ใช่สาเหตุเดียว

๓) กรรมพันธุ์ เด็กอาจมีรูปร่างเหมือนพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง ถ้าพ่อหรือแม่เตี้ย ลูกอาจเตี้ยและกรณีนี้ อาจมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยได้และมักจะเป็นเด็กที่ทานอาหารได้น้อย

(2) การตรวจสุขภาพอนามัย เป็นการตรวจสอบที่แสดงคุณภาพชีวิตของเด็กโดย พิจารณาความสะอาด สิ่งผิดปกติของร่างกายที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการเจริญเติบโตของเด็ก


ที่มา:
กระทรวงศึกษาธิการ. (2568). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี
        สำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อมและสมัครใจ ปีการศึกษา 2568. สำนักงานคณะกรรมการ
        การศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. 
        สืบค้น 23 พฤศจิกายน 2568.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น